วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ภัยธรรมชาติ


ความหมายของภัยพิบัติธรรมชาติ
         
      ภัยพิบัติธรรมชาติ  หรือคำในภาษาอังกฤษ Natural Disasters  หมายถึง เหตุการณ์ที่อาจเกิดจากธรรมชาติ หรือเกิดจากการกระทำของมนุษย์ที่อาจเกิดขึ้นปัจจุบันทันด่วนหรือค่อย ๆ เกิด มีผลต่อชุมชนหรือประเทศชาติ ภัยพิบัติอาจเป็นได้ทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น อุทกภัย หรือเป็นเหตุการณ์ที่มนุษย์กระทำขึ้น เช่น การแพร่กระจายของสารเคมี เป็นต้น






รูปแบบของภัยพิบัติธรรมชาติ

ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ( Natural Disasters) รูปแบบต่าง ๆ ทางธรรมชาติที่ได้มีการศึกษารวบรวม และบันทึกรายละเอียดไว้ อาจสรุปได้เป็น 10 ประเภท คือ
1. การระเบิดของภูเขาไฟ ( Volcano Eruptions)
2. แผ่นดินไหว ( Earthquakes)
3. คลื่นใต้น้ำ ( Tsunamis)
4. พายุในรูปแบบต่าง ๆ ( Various Kinds of storms) 
5. อุทกภัย ( Floods)
6. ภัยแล้ง หรือทุพภิกขภัย ( Droughts)
7. อัคคีภัย ( Fires)
8. ดินถล่ม และโคลนถล่ม ( Landslides and Mudslides)
9.  พายุหิมะและหิมะถล่ม (Blizzard and Avalanches) และ
10. โรคระบาดในคนและสัตว์ ( Human Epidemics and Animal Diseases) 

เสียงจากธรรมชาติ


 

         เราคงเลยได้ยินกันมามั่งแล้วว่าเสียงเกิดขึ้นเองจากธรรมชาติ เช่นน้ำกระทบฝั่ง นกร้อง เสียงเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเสียงจากธรรมชาติทั้งสิ้น
      เสียงให้ความเพลินเพลินได้ เสียงจากธรรมชาติก็เช่นกัน ช่วยให้ผ่อนคลายและเกิดความสงบอีกด้วย


การเตรียมรับมือกับภัยพิบัติ


1. เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์เลวร้ายที่สุด

เพราะเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น สิ่งต่างๆ ที่เคยคุ้นเคย จะเปลี่ยนไป ขาดแคลน หรือไม่มีอีกต่อไป ดังนั้น เตรียมการล่วงหน้าซะก่อน ดีกว่าจะไปหาเอาหลังจากเกิดภัยพิบัติแล้ว: อาหาร ยา วิธีจุดไฟ แหล่งจ่ายไฟ แสงสว่าง เครื่องมือจุดไฟ มีดพร้า แม่แรง น้ำมัน พาหนะ ที่พักชั่วคราว เผื่อแผ่คนอื่นบ้าง ฯลฯ

2. อย่าตกใจจนสติแตก

การไม่มีสติ ยากจะตัดสินใจได้ดี เมื่อเกิดภัยพิบัติ เป็นปฏิกริยาของมนุษย์ที่มีอาการตกใจเป็นธรรมดา แต่ถึงอย่างไร มันก็ผ่านไปแล้ว เลิกบ้ากับมันได้แล้ว ตั้งสติพิจารณาความเสี่ยงให้ดี ถ้าเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง ในเวลาที่เกิด เคลื่อนที่เข้าหา “สามเหลี่ยมปลอดภัย” เมื่อแผ่นดินไหวจบแล้ว ย้ายออกจากสิ่งปลูกสร้างโดยเร็วที่สุด ไม่ต้องโชว์ความกล้าหาญหรือบ้างานขึ้นมากระทันหัน

3. รอความช่วยเหลือ

ถ้าสถานที่ที่ประสบภัยไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นรกแตก (เช่นไฟไหม้ หรือบ้านเรือนหายหมดมีคนตายเยอะ) สถานที่ที่ดีที่สุดที่จะรอความช่วยเหลือก็คืออยู่ตรงนั้นแหละ พยายามรวมกลุ่มไว้

4. อยู่รอดให้ได้หลังภัยพิบัติ

อะไรที่เคยมี อาจไม่มีแล้ว แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ตีโพยตีพายอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์; ในสถานการณ์แบบนี้ ควรช่วยเหลือกัน เนื่องจากกลยุทธ์ “เห็นแก่ตัว” หรือ “ดีแต่พูด” ไม่ช่วยอะไรเลย — ชีวิตในปัจจุบัน ซับซ้อนจนไม่มีใครสามารถจะทำอะไรได้ทุกอย่าง เนื่องจากไม่มีทั้งความรู้ ความชำนาญ ตลอดจนแรงงานเพียงพอที่จะทำทุกอย่างเอง ดังนั้นจึงต้องพึ่งพาผู้ที่ยังรอดอยู่ ซึ่งก็อยู่ในความทุกข์ยากและต้องการความช่วยเหลือเช่นกัน — ถ้าอยากได้ความช่วยเหลือ ก็หัดช่วยคนอื่นซะบ้างครับ










มหันตภัยที่กำลังคุกคามโลกมนุษย์ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต พอสรุปได้ดังนี้
ภัยจากน้ำท่วม และมลภาวะสิ่งแวดล้อม
ภัยจากสงครามเศรษฐกิจ
ภัยจากสงครามพลังจิต
ภัยจากสงครามโลกครั้งที่ ๓
ภัยจากสงครามจักรวาลระหว่างดวงดาว
ภัยจากอุกกาบาตขนาดยักษ์ที่หลุดจากดวงอาทิตย์กำลังเดินทางมาชนโลก
ภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 
1. เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่
2. พายุถล่ม
3. แผ่นดินแยก และแผ่นดินไหว
4. ภูเขาไฟระเบิด
(จังหวัดทางภาคกลาง 2 ลูก, ภาคเหนือตอนล่าง 3 ลูก, อีกทั้งที่จังหวัดราชบุรี / น่าน / แพร่ / อ.ร้องกวาง )
5. คลื่นยักษ์จากทะเล
6. โรคระบาดที่สุดจะเยียวยา ได้แก่ LISTERIA , อหิวาตกโรคสายพันธุ์ใหม่ ผู้ได้รับเชื้อจะเสียชีวิตทันที ภายใน 6 วัน
7. คลื่นเสียงที่รุนแรง ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตจะไม่เคยได้ยินเสียงที่ดังขนาดนั้นมาก่อน
8. อดอยากขาดแคลนอาหาร
การเตรียมตัว เตรียมปัจจัยเพื่อตนเองและสมาชิกในครอบครัว
1. เตรียมอาหารและน้ำดื่มไว้ที่บ้านอย่างน้อย 3 – 6 เดือน
2. เครื่องนุ่งห่มเพื่อความอบอุ่นของร่างกาย
ได้แก่เสื้อผ้า กระเป๋าน้ำร้อน ผ้าห่ม ฯลฯ เพราะในช่วงเวลานั้นอากาศจะหนาวเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ
3. เครื่องใช้ที่จำเป็น
4. ที่อยู่อาศัย
5. ยารักษาโรค
6. ด่างทับทิมและคาราไมล์ (จำเป็นมาก)
ห้ามกินอาหารที่ไม่ได้ล้างด้วยด่างทับทิม เพราะจะมีทั้งเชื้อโรคและสารกัมมันตรังสี
ส่วนคาราไมล์ จะมีไว้รักษาโรคทางผิวหนังที่ดูเหมือนจะยากต่อการรักษา แต่เมื่อทาคาราไมล์แล้ว จะหายได้อย่างน่าอัศจรรย์
7. ยานพาหนะ เช่น เรือ เสื้อชูชีพ
8. เครื่องช่วยชีวิต
9. แสงสว่าง เช่นเทียน ตะเกียงพายุ (อย่างน้อย 49 วัน ไฟฟ้าจะดับทั่วโลก)
10. เตรียมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.arsadusit.com/1608

วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

คุณประโยชน์จากธรรมชาติ


ธรรมชาติ สร้างสรรค์สิ่งดีๆ  มีคุณประโยชน์มากมาย  ให้แก่มวลมนุษย์บนโลกใบนี้  
ที่สำคัญอันได้แก่  ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ   นั่นเอง



ดิน ให้ประโยชน์ในการสร้างที่อยู่อาศัย เพาะปลูกธัญาหารพืชผักและผลไม้รวมทั้งประโยชน์จากป่าด้วย

น้ำ ใช้ประโยชน์ในการใช้ดื่มกินอาบและใช้สอยอื่นๆ เช่น การเพาะปลูก

ลม ให้ประโยชน์เพื่อบรรเทาความร้อน ทำให้จิตใจเย็นสบาย

ไฟ ให้ประโยชน์เป็นเชื้อเพลิง ให้ความร้อนแสงสว่าง และให้ความอบอุ่น (รวมถึงแสงแดดด้วย)
  
            จากสิ่งที่กล่าวมานั้นอาจจะดูธรรมดา แต่หากขาดธรรมชาติไปมนุษย์ก็จะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้
เพราะฉะนั้นเราจึงควรที่จะใส่ใจดูและรักษาธรรมชาติด้วย หากขาดไปแล้วจะต้องเกิดอะไรกับสิ่งมีชีวิตมั่งก็ไม่อาจประเมินค่าได้



ระบบนิเวศธรรมชาติ

ชีวิตทุกชีวิตที่เกิดขึ้นในชีวบริเวณนั้น ต่างเกิดมาได้ เพราะมีชีวิตอื่นๆ เกื้อหนุน ซึ่งชีวิตทุกชีวิตมิอาจเกิดและมีชีวิตอยู่ได้ ในสภาวะลำพังโดดเดี่ยว โดยไม่มีความสัมพันธ์ถึงสิ่งแวดล้อมอื่นๆ และภายใต้ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมนี้ เราเรียกว่า ระบบนิเวศ 

ระบบนิเวศ
 หมายถึง ระบบของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ได้ด้วยตัวเอง และมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่อยู่โดยรอบ 

สิ่งแวดล้อม
 หมายถึง กลุ่มหรือหมู่ของสิ่งมีชีวิต และสิ่งไม่มีชีวิตอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตหนึ่งๆ 

ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ในระบบนิเวศ แบ่งออกได้เป็น ๒ ลักษณะ คือ 

๑.เป็นความผูกพัน พึ่งพากัน หรือส่งผล ต่อกันระหว่างสิ่งมีชีวิตด้วยกันเอง

๒.เป็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิตที่แวดล้อมมันอยู่ 

ซึ่งลักษณะความสัมพันธ์ทั้ง ๒ ประการ นี้ จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน และมีอยู่ในทุกระบบนิเวศ และความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต กับสิ่งแวดล้อมก็คือ การถ่ายทอดพลังงาน และการแลกเปลี่ยนสสาร ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์อย่างมีระเบียบ ภายในระบบ ทำให้ระบบอยู่ในภาวะที่สมดุลนั้น คือ 

การดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตจะได้พลังงานโดยตรงมาจากดวงอาทิตย์ ซึ่งพลังงานจากดวงอาทิตย์ จะถูกตรึงไว้ในชีวบริเวณด้วยขบวนการสังเคราะห์แสง ของพืชสีเขียว ทำให้มีการเจริญเติบโต และเป็นอาหารให้กับสัตว์ ขณะเดียวกันตลอดระยะเวลาของการเติบโตของพืชสีเขียว มันก็จะปล่อยก๊าซออกซิเจน ที่เป็นประโยชน์ต่อกระบวนการหายใจของพืชและสัตว์ 
ระบบนิเวศนั้น มีอยู่ทุกหนทุกแห่งในโลก ที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสังคมของสัตว์และพืช หรือจุลินทรีย์ที่เล็กที่สุด ซึ่งทุกๆ ชีวิตต่างมีระบบของมันเอง ขณะเดียวกันก็สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมของมันด้วย ตัวอย่างเช่น ไม่ว่าจะเป็นในดิน น้ำ หรืออากาศ ในบริเวณหนึ่งบริเวณใดก็ตาม เมื่อเกิดมีสิ่งมีชีวิตขึ้น ตามระบบของธรรมชาติแล้ว สิ่งมีชีวิตนั้นๆ จะค่อยๆ วิวัฒนาการ สร้างความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่อยู่โดยรอบมากขึ้น และนำเอาธรรมชาติรอบข้างนั้น มาใช้เป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของมัน ชีวิตใดที่สามารถใช้ประโยชน์จากธรรมชาติได้มากกว่าชีวิตอื่น มันก็อยู่รอดได้ ขณะที่ชีวิตที่อ่อนแอกว่าจะสูญสลายไปในที่สุด ขณะเดียวกัน ที่มันมีความสามารถในการดึงเอาธรรมชาติรอบข้างมาใช้ ในการเจริญเติบโต ในระบบของสิ่งมีชีวิต ก็จะสร้างความต้านทานต่อสิ่งรบกวน ที่จะเข้ามาทำอันตรายมันด้วยตลอดเวลา เพราะฉะนั้นสิ่งมีชีวิตใดที่มีวิวัฒนาการ ของการสร้างระบบความเจริญเติบโตในชุมชนได้มากเท่าใด แรงต้านทานก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ความซับซ้อนในระบบนิเวศก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตาม วิวัฒนาการการเจริญเติบโตของสังคมสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ จนกลายเป็นความสมดุลในระบบธรรมชาติ




วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วิธีการรักษาธรรมชาติสิ่งแวดล้อม


  1. ใช้ผ้าแทนกระดาษทิชชู
    เราใช้กระดาษทิชชูเช็ดมือ เช็ดหน้า ปีละหลายล้านฟุต ซึ่งหมายถึง การโค่นต้นไม้ลงจำนวนมหาศาล ช่วยกันลดการใช้กระดาษทิชชูด้วยการวางผ้ามือไว้ใกล้อ่างล้างมือ แล้วใช้ผ้าเช็ดโต๊ะแทนการใช้กระดาษทิชชูเช็ด
  2. ใช้ถุงพลาสติกซ้ำหลาย ๆ ครั้ง
    ประหยัดถุงพลาสติกได้โดยการใช้ซ้ำหลาย ๆ ครั้ง หากถุงพลาสติกสกปรก ก็ให้ทำความสะอาดแล้วแขวนไว้ให้แห้ง เพื่อส่งกลับเข้าโรงงานสำหรับผลิตใหม่
  3. แยกทิ้งเศษกระดาษจากขยะอื่น
    โปรดหลีกเลี่ยงการทิ้งเศษกระดาษลงในถังกับขยะอื่น ๆ เพราะจะทำให้กระดาษเปรอะเปื้อนไขมัน และเศษอาหารจะทำให้เศษกระดาษนั้นนำไปผลิตใหม่อีกไม่ได้
  4. กระดาษที่นำไปรีไซเคิลไม่ได้
    กระดาษที่ไม่สามารถนำไปเข้ากระบวนการผลิตใหม่เป็นกระดาษใช้ได้อีก ได้แก่ กระดาษที่เคลือบด้วยขี้ผึ้ง กระดาษที่เข้าเล่มด้วยกรรมวิธีการละลายโดยใช้ความร้อน เช่น สมุดโทรศัพท์ นิตยสารต่าง ๆ ตลอดจนกระดาษที่ถูกเปรอะเปื้อนด้วยการชนิดที่ไม่ละลายน้ำ
  5. หนังสือพิมพ์สามารถแก้ไขปัญหา ขยะกระดาษ
    แหล่งสร้างขยะกระดาษที่สำคัญก็คือหนังสือพิมพ์ หน้าที่เป็นขยะกระดาษโดย ผู้อ่านไม่ได้อ่าน ก็คือหน้าโฆษณาธุรกิจ ซึ่งมีอยู่ฉบับละหลาย ๆ หน้า ซึ่งแม้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหนังสือพิมพ์ แต่ ควรคำนึงว่า นั่นคือ การทำลายกระดาษสะอาด และสร้างขยะกระดาษให้เกิดขึ้นจำนวนมหาศาลในแต่ละวัน
  6. เศษหญ้ามีประโยชน์
    เศษหญ้าที่ถูกทิ้งอยู่บนสนามนั้น สามารถให้ประโยชน์ต่อสนามหญ้าได้มาก เพราะในเศษหญ้านั้น มีธาตุอาหาร ที่มีคุณค่าเทียบเท่ากับปุ๋ย ที่ใช้ใส่หญ้าทีเดียว
  7. วิธีตัดกิ่งไม้
    วิธีการตัดกิ่งก้านของต้นไม้ ไม้พุ่มใบไม้ ควรตัดให้เป็นเศษเล็กเศษน้อย เพื่อช่วยลดเศษขยะให้กับสวนได้ และทั้งยังช่วยให้เกิดการเน่าเปื่อยขึ้นกับเศษใบไม้นั้นเร็วขึ้นด้วย
  8. ใช้เศษหญ้าคลุมไม้ใหญ่
    เศษหญ้าที่ตัดจากสนามและสวนนั้น สามารถนำไปคลุมต้นไม้ใหญ่ได้ การใช้เศษหญ้าปกคลุมพืชในสวนจะช่วยในการกำจัดวัชพืชได้เพราะวัชพืช จะไม่สามารถแทงลำต้นผ่านเศษหญ้าได้ นอกจากนี้เมล็ดของวัชพืชที่ร่วงหล่นก็ไม่อาจหยั่งรากทะลุผ่านเศษใบไม้ได้ด้วย
  9. ประโยชน์ของพลาสติกช่วยถนอมอาหาร
    พลาสติกทุกชนิดหากถูกไฟไหม้ จะก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศที่เป็นอันตราย ได้มีการรณรงค์ให้เลิกใช้พลาสติก แต่จริง ๆ แล้ว พลาสติกยังคงมีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวันโดยเฉพาะพลาสติก มีประโยชน์ในการถนอมอาหารให้สดอยู่ได้ เป็นเวลานาน ๆ
  10. พลาสติกรีไซเคิล
    ปัจจุบันมีบริษัทกว่า 200 แห่ง ในอุตสาหกรรมการผลิตพลาสติกได้ทำการรีไซเคิลพลาสติก จำนวน 20% จากขวดเครื่องดื่ม พลาสติกที่ทำจาก Polyethylene Terephthalate หรือ PET จะถูกนำไปรีไซเคิล เป็นด้ามเครื่องจับไฟฟ้า กระเบื้องปูพื้น เส้นใยสังเคราะห์ในหมอน ถุงนอน หรือใช้บุเสื้อแจ็คเก็ต
  11. พลาสติกรีไซเคิล (2)
    ภาชนะพลาสติกที่ใส่น้ำผลไม้และนมนั้นทำมาจากพลาสติกชนิด Polyethylene ที่มีความเข้มข้นมากเมื่อใช้แล้วได้ถูกนำมารีไซเคิลทำเป็นท่อพลาสติก กระถางต้นไม้ เก้าอี้พลาสติก
  12. วิธีเก็บขวดแก้วที่ใช้แล้ว
    ขวดแก้วทุกชนิดที่บรรจุของเมื่อใช้แล้วควรทำความสะอาด และแยกชนิดของแก้ว และแยกสีของแก้วด้วย
  13. วิธีเก็บกระป๋องอลูมิเนียมที่ใช้แล้ว
    นำกระป๋องอลูมิเนียมที่ใช้แล้วมาบี้ให้แบนก่อนทิ้ง หรือขายแก่คนรับซื้อเศษโลหะ
  14. น้ำสะอาดมาจากน้ำใต้ดิน
    น้ำสะอาดที่เราใช้ประโยชน์ดื่มกิน ส่วนใหญ่ มาจากน้ำใต้ดิน การทิ้งขยะบนพื้นผิวดินทำให้มีผลถึงน้ำใต้ดิน เพราะน้ำฝนจะชะความเป็นพิษและความโสโครกให้ซึมลงไปถึงชั้นน้ำใต้ดินทำให้น้ำใต้ดินเน่าเสียและเป็นพิษได้
  15. วิธีล้างรถยนต์
    ล้างรถยนต์ด้วย ฟองน้ำ และใช้ถังน้ำจะใช้น้ำเพียง 15 แกลลอน แต่ถ้าล้างด้วยสายยางจะต้องสูญเสียน้ำถึง 150 แกลลอน
  16. ดูแลรักษารถด้วยการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง
    การดูแลรักษารถจะต้องทำอย่างสม่ำเสมอได้แก่ การเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ตามระยะเวลาที่ระบุไว้ในคู่มือและทุกครั้งที่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ควรเปลี่ยนไส้กรองด้วย
  17. รักษารถ ด้วยการเปลี่ยนไส้กรอง
    ไส้กรองอากาศที่สกปรก จะทำให้การไหลของอากาศที่สะอาดทำได้น้อยลง มีผลต่อการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ด้วย
  18. รักษารถ ช่วยลดมลพิษ
    การดูแลรักษารถจะทำให้รถสามารถวิ่งได้เพิ่มขึ้นอีก 10% ของจำนวนไมล์ ซึ่งเท่ากับสามารถลดราคาเชื้อเพลิงลงได้ถึง 10% เช่นกัน การลดการใช้เชื้อเพลิงลงก็เท่ากับเป็นการช่วยลดมลพิษทางอากาศให้กับโลกได้ด้วย
  19. ยางรถยนต์ ช่วยประหยัดน้ำมัน
    การเติมลมยางรถ ให้พอดีและขับรถตามข้อกำหนดความเร็ว จะช่วยในการประหยัดน้ำมันได้
  20. วิธีป้องกันการรั่วไหลของน้ำมันเครื่อง
    การป้องกันการรั่วไหลของน้ำมันเครื่องจากตัวถังรถยนต์ สามารถทำได้ด้วยการปิดสลักเกลียวในเครื่องยนต์ทุกตัวให้แน่น โดยเฉพาะในส่วนที่ซึ่งน้ำมันเครื่องรั่วไหลออกไปได้
    ช่วยป้องกันการรั่วไหลของน้ำมันเพื่อลดมลพิษให้กับอากาศของเรา
  21. ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อไหร่
    ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อขับรถได้ทุก ๆ ระยะ 3,000-4,000 ไมล์ และควรเลือกใช้ไส้กรองที่ดีที่สุดด้วย
  22. เก้าอี้พลาสติกรีไซเคิล
    เก้าอี้พลาสติกส่วนใหญ่ผลิตขึ้นใหม่จากพลาสติที่ใช้แล้ว เช่น เก้าอี้พลาสติกที่มีขนาดความยาว 6 ฟุต นั้น ทำมาจากถังพลาสติก ที่ใช้บรรจุนมเป็นจำนวนถึง 1050 ใบ
  23. รักษาสิ่งแวดล้อมเริ่มต้นที่ใกล้ตัว
    ในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนั้น เราไม่จำเป็นต้องเดินทางไปจนถึงพื้นที่ป่าใหญ่ เพื่อปลูกป่า แต่เราสามารถเริ่มต้นอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลายได้ในพื้นที่ใกล้บ้านเราเอง

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ช่วยเหลือธรรมชาติ(Getting Greener All the Time)

การช่วยเหลือธรรมชาติ หรือ การกระทำเพื่อโลกสีเขียวในชีวิตประจำวัน เป็นสิ่งที่ดีสำหรับตัวคุณ ครอบครัวคุณ ดีสำหรับเพื่อนบ้านของคุณ เพื่อนคุณ ชุมชนของคุณ ประเทศของคุณ ทวีปของคุณ โลกและคนรุ่นต่อๆ ไป
ถ้าคุณมองในลักษณะนี้ มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ทำอะไรเพื่อธรรมชาติ! แต่ข่าวดีที่สุดก็คือ มันง่ายยิ่งกว่าที่เคยเป็นมาเสียอีกในทุกวันนี้


1. เดินหรือขี่จักรยานมาทำงาน เมื่อคุณคิดว่า การเผาผลาญน้ำมันหนึ่งแกลลอนส่งผลให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์มากกว่า 19 ปอนด์ที่ปล่อยไปในชั้นบรรยากาศ คุณจะเริ่มเข้าใจได้ว่า ทำไมการขี่จักรยานหรือเดินมาทำงานจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ไม่เพียงแต่คุณจะช่วยลดคาร์บอนฟุตพรินต์ได้อย่างมีนัยสำคัญเท่านั้น คุณยังให้ตัวเองได้รับสุขภาพที่ดีพร้อมๆ กับช่วยสิ่งแวดล้อมไปในตัว!

อย่างไรก็ตาม หากคุณอยู่ไกลจากสถานที่ทำงานหรือโรงเรียนเกินกว่าที่จะขี่จักรยานหรือเดินได้ตลอดระยะทาง ให้ลองใช้จักรยานร่วมกับการขนส่งสาธารณะ หลายๆ เมืองมีที่วางจักรยานติดตั้งบนรถโดยสารสาธารณะ และเมืองส่วนใหญ่ก็อนุญาตให้นำรถจักรยานขึ้นรถไฟใต้ดินได้ ในช่วงที่ไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วน
2. ใช้ระบบขนส่งสาธารณะแทนการขับรถ ถ้าการขี่จักรยานไม่ใช่ส่วนหนึ่งของวิธีการเดินทางของคุณ ใช้เคล็ดลับจากเพื่อนชาวยุโรป คือ เก็บรถไว้ที่บ้าน แล้วขึ้นรถสาธารณะแทน จากข้อมูลของ American Public Transportation Association หากชาวอเมริกันใช้ระบบขนส่งสาธารณะแทนการขับรถเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ของการเดินทาง การพึ่งพาน้ำมันจากต่างประเทศของสหรัฐฯ ก็จะลดลงถึง 40 เปอร์เซ็นต์

นอกเหนือจากนั้น หากคุณใช้ระบบขนส่งสาธารณะเพียงอย่างเดียวไปโรงเรียนหรือไปทำงาน คุณจะสามารถลดการปล่อยปริมาณแก๊สคาร์บอนลงได้ถึง 4,800 ปอนด์ต่อปี ซึ่งมากกว่าการที่คุณป้องกันบ้านจากสภาพอากาศ เปลี่ยนเป็นหลอดฟลูออเรสเซนต์และเปลี่ยนตู้เย็นเก่ารวมกันเสียอีก
3. ปลูกต้นไม้ที่บ้าน การกระทำที่ได้ผลมากที่สุดวิธีหนึ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อชดเชยการปล่อยแก๊สคาร์บอนคือ การปลูกตันไม้ ต้นไม้มักจะได้รับการกล่าวขานว่าเป็น “ปอดของโลก” ซึ่งรับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ แล้วแปลงเป็นออกซิเจน จากข้อมูลของกองทุนอนุรักษ์ (Conservation Fund) องค์กรไม่แสวงผลกำไร ซึ่งมีภารกิจเพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งป่าไม้ สัตว์ป่า และแหล่งน้ำธรรมชาติ ต้นไม้ต้นหนึ่งกำจัดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศได้ถึงหนึ่งตัน (2000 ปอนด์) ในช่วงชีวิตของมัน

ร่มเงาที่ได้จากต้นไม้ที่โตแล้วยังช่วยทำความเย็นให้กับบ้าน ลดการใช้พลังงานลงได้ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ในช่วงที่อากาศร้อน ส่วนในช่วงที่อากาศหนาว ต้นไม้และไม้พุ่มจะทำหน้าที่เป็นที่บังลม ซึ่งช่วยให้บ้านของคุณอบอุ่นขึ้น
เมื่อคุณให้การกระทำเพื่อโลกสีเขียวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคุณ คุณไม่ได้แค่ช่วยโลกเท่านั้น คุณยังได้ทำตัวเป็นแบบอย่างเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้คนที่อยู่รอบข้างตัวคุณ ฉะนั้น จงพูดถึงสิ่งที่คุณทำ! เขียนบล็อกเกี่ยวกับสิ่งนั้น! บันทึกการกระทำเพื่อโลกสีเขียวของคุณที่นี่ และแบ่งปันการกระทำเหล่านั้นกับเพื่อนๆ ของคุณบน Facebook! แล้วสละเวลาสักพักให้คุณได้ภูมิใจในตัวเองกับการที่ได้ช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมและช่วยให้โลกของเราเขียวและสะอาด